วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564

คอลลาเจน คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

คอลลาเจน (Collagen) เป็นคำที่มาจากภาษากรีกที่หมายถึง กาว นั่นคือการทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์แต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นสายเกลียวแบบเส้นยาวๆ เป็นโครงสร้างหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งสามารถพบได้มากในสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยนมโดยจะพบได้ทั้งในผิวหนังส่วนนอกและอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ผังผืด (Fascia), เอ็นกล้ามเนื้อและกระดูกโดยจุดที่เป็นส่วนที่สามารถสร้างคอลลาเจนได้มากที่ สุด คือ บริเวณเซลล์สร้างเส้นใย  (fibroblast) คอลลาเจนนั้นพบได้มากมายหลายชนิด (ขึ้นอยู่กับบริเวณเนื้อเยื่อหรือบริเวณอวัยวะที่พบ) อาทิเช่น
  1. พบได้บริเวณที่ผิวหนัง
  2. พบได้ที่บริเวณกระดูกอ่อน
  3. พบได้ที่บริเวณผิวหนังที่เกิดการสร้างขึ้นใหม่หรือในเด็กทารก
  4. พบได้ในบริเวณทางเดินอาหารและเส้นเลือดต่าง ๆ
  5. พบได้ที่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์
  6. พบได้ตามบริเวณทั่วไปของร่างกาย

ฯลฯ
เมื่อคอลลาเจนถูกย่อยสลายด้วยน้ำจะทำให้เกิดการแตกตัวจนกลายเป็นสารเชิงซ้อนของคอลลาเจนเปปไทด์ Polyproline II หรือที่เราเรียกว่า เจลาติน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือเป็นตัวสร้างความแข็งแรงและสร้างความยืดหยุ่น หากผิวหนังของเรามีสิ่งเหล่านี้น้อยลงก็อาจทำให้ผิวของสาวๆ เกิดเป็นริ้วรอย (Wrinkle) ซึ่งคอลลาเจนนั้นนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร ยาและเครื่องสำอางด้วย



 

สำหรับการใช้งานทางการแพทย์นั้นยังเป็น ที่นิยมอย่างมากในการศัลยกรรมเพื่อความสวยความงาม โดยจะเน้นไปที่บริเวณผิวหนังซึ่งคอลลาเจนบริเวณผิวหนังที่พบมากมี 2 ประเภทคือ

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นคอลลาเจนที่สังเคราะห์ขึ้นมาเมื่อมนุษย์เริ่มโตหรือมีอายุมากขึ้น
จะขึ้นมาแทนคอลลาเจนชนิดที่ 3 ที่มีตอนเป็นเด็ก
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 ชนิดนี้สามารถพบได้มากที่สุดในเด็ก นั่นจึงทำให้เราเห็นได้ว่าผิวของเด็ก
นั้นจะมีลักษณะเนียน นุ่ม ตึงและดูน่ามองมากกว่าวัยอื่น ๆ
ปกติร่างกายของเราจะเริ่มมีการเสื่อมลงไปนับตั้งแต่อายุ 25 ปี (คิดเป็นร้อยละ 1.5 ต่อปี) เพราะเมื่อ
ร่างกายเกิดการสูญเสียคอลลาเจนมากขึ้น มากเกินจนกลายเป็นว่าสูญเสียมากกว่าการผลิตขึ้นมาใหม่ทำให้ผิวหนังในส่วน ต่าง ๆ เริ่มไม่กระชับ ไม่เต่งตึงจนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังของเราเกิดเป็นริ้วรอยและกลายเป็น คนผิวแห้งไปในที่สุด
ปัจจัยที่จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้คอลลาเจนเกิดการเสื่อมไวเร็วขึ้น ได้แก่
  1. รังสีจากแสงแดด (รังสียูวี)
  2. การสูบบุหรี่
  3. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  4. การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของสาร
  5. การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของฮอร์โมน
ฯลฯ
อาหารที่ช่วยในการกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน ได้แก่
  1. อาหารที่ทำจากถั่งเหลือง เนยแข็งและชีส
  2. ผักใบเขียว
  3. ผักและผลไม้ที่มีสีแดงและสีส้ม
  4. อาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
  5. ถั่วชนิดต่าง ๆ
ประโยชน์ของคอลลาเจน ได้แก่
  1. ช่วยลดอาการปวดอักเสบของโรคข้อ
  2. ป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบในผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
  3. สร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผนังของหลอดเลือด
  4. ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ
  5. ช่วยรักษาฟื้นฟูการสร้างกระดูกในบุคคลที่มีบาดแผลไฟไหม้
  6. ช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงในบริเวณผิวหนัง
ดังนั้นสาวๆ คนไหนไม่อยากแก่ไว ไม่อยากผิวเหี่ยว ดูไม่สวยแล้วละก็ต้องหันมาดูแลเอาใจใส่ร่างกายของตนเองได้แล้ว เพราะหากวันนี้แม้แต่ตัวคุณเองยังไม่รักตัวคุณเอง แล้วจะมีหนุ่มๆ ที่ไหนมารักหรือสนใจในตัวคุณ ลองเริ่มตั้งแต่วันนี้ดูสิค่ะเพื่อตัวคุณเองที่จะดูดีจนหนุ่มๆ ต้องเหลียวมองจนตาค้าง



Read More

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

5 วิธีเลือกชุดสวย ไปทำงาน

         คุณแม่ยุคใหม่ๆ มักจะเป็น Working Mom ไม่ว่าจะ คุณแม่สาวเอเจนซี่ คุณแม่นักบัญชี คุณแม่พยาบาล คุณแม่นักบริหาร ฯลฯ ว่าแล้ว การจะสลัดผ้ากันเปื้อนกระโดดออกจากบ้าน ไปรับหน้าที่สาวมั่น ให้สมกับเป็น Working Mom ยุคใหม่ เราก็ต้องมีเทคนิคสักหน่อย เพราะลำพังเลี้ยงลูกอย่างเดียวเวลาว่างก็หายากเต็มที ถ้าจะให้ไปวิ่งตามแฟชั่นอีก คงไม่ไหวแน่ๆ ถ้าอย่างนั้น มาดูเทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้คุณดูดีอยู่เสมอกันดีกว่าค่ะ

ชุดทำงาน เดรสเข้ารูป Two tone แพทเทิน นาฬิกาทราย มีไซส์ใหญ่ S - 4XL

      1. เสื้อผ้าชิ้นเดียว : เลือกชุดทำงานที่ไม่ได้เป็นชุดติดกัน (Dress) เพื่อที่ว่าคุณจะสามารถ Mix & Match เสื้อตัวนี้กับกางเกงตัวนั้น ได้หลายสไตล์ตามแต่ใจต้องการ ทางที่ดีควรจะเลือกสีพื้นๆ ไว้ก่อนด้วยนะคะ
      2. เชิ้ตและเสื้อคลุม (Jacket) : วิธีที่ดีที่สุด เพื่อที่จะทำให้คุณดูเป็นมืออาชีพและมีความน่าเชื่อถือ คือ สวมเสื้อเชิ้ตกับประโปรง หรือกางเกง โดยพยายามเลือกเสื้อสีเข้ม ที่เข้ารูปเล็กน้อย สำหรับเสื้อเสื้อคลุม(Jacket)เลือกแบบที่หลากหลายทั้งแบบเป็นทางการ สบายๆ หรือออกแนวสปอร์ต
      3. กระโปรง : อาจจะมีลวดลายเล็กๆ น้อยๆ บนกระโปรงได้ แต่ต้องไม่มากจนเกินไปนะคะ เพราะการมีลวดลายหรือสีสันมากๆ จะทำให้คุณ Mix & Match กระโปรงตัวเก่งกับเสื้อได้ยากขึ้น และควรมีความยาวปานกลาง ในกรณีที่คุณต้องวิ่งกลับบ้านไปดูเจ้าตัวเล็ก กระโปรงจะได้ไม่เป็นอุปสรรคไงคะ
      4. กางเกง : กฎเหล็กของการเลือกซื้อกางเกง ก็ไม่ต่างจากการเลือกซื้อเสื้อหรือกระโปรง คือ เลือกใช้สีพื้นๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะกางเกงสีกากี เหมาะมากสำหรับ working mom เพราะจะทำให้คุณดูดีทั้งในออฟฟิศและในสนามเด็กเล่น
      5. กระเป๋า : ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับคุณแม่ที่ชอบกระเป๋าแบบถือ ใบเล็กๆ เพราะกระเป๋าลักษณะนั้นไม่เหมาะกับสาว Working Mom อย่างเราแล้วค่ะ นอกจากมันจะใบเล็กเกินไป แล้วก็ยังพกพาไปไหนได้ไม่สะดวกสบาย เพราะต้องถือไว้ตลอดเวลา ทางที่ดีหากระเป๋าสะพายใบใหญ่สักนิดจะดีกว่าค่ะ

         ได้ ไปถึง 5 เคล็ดลับคราวนี้ก็คงสร้างความมั่นใจในกับคุณแม่ทำงานให้ได้สุดเก๋ไก๋ได้แม้ วันทำงานหรือทะมัดทะแมงได้แม้วันต้องกระเตงลูกกันเลยเชียวนะคะ





ที่มา ... nestle.co.th
Read More

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การดูแลลูก


บทความนี้เหมาะสำหรับคุณแม่หรือคุณพ่อมือใหม่ที่ต้อการเรียนรู้เกี่ยวกับการอาบน้ำ การแต่งตัวให้กับเจ้าตัวน้อย การดูแลเล็บ สะดือ และเส้นผม การอาบน้ำทุกๆวันให้กับเจ้าตัวน้อยวัยแรกเกิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าหนาวในวัยนี้ควรอาบน้ำด้วยฟองน้ำสำหรับพวกเขาก็เพียงพอแล้ว

• เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดดวงตาน้อยๆโดยเริ่มจากการนำผ้าชื้นหมาดๆ หรือใช้สำลีก้าน (cotton bud)ชุบน้ำหมาดๆเช็ดจากด้านในสู่ด้านนอก
 
• หลังจากนั้นเริ่มทำการล้างหน้า และต้องมั่นใจว่าคุณได้ทำความสะอาดบริเวณหลังหูแหละส่วนลำคอ หลักจากนั้นเริ่มทำความสะอาดส่วนแขนและลำตัวทั้งส่วนหน้าและหลัง และหลังจากนั้นให้ทำการเช็ดให้แห้ง ในทุกๆส่วน
 
• ถ้าผิวของเจ้าตัวน้อยต้องการความชุ่มชื้น สามารถทาเบบี้ออยให้ลูกน้อยได้โดยใส่เบบี้ออยลงไปในน้ำที่ทำการล้างตัวแต่การจะทำขั้นตอนนี้ควรจะทำหลังจากที่สายสะดือหลุดออกไปแล้วเท่านั้น
 
• หลังจากเช็ดตัวให้เจ้าตัวน้อยแล้ว ควรจะแน่ใจว่าได้ทำให้ส่วนตรงสะดือของเขาแห้งสะอาด คุณแม่และคุณพ่ออาจจะใช้สำลีก้านเช็ดอีกทีเพื่อทำให้สะดือสะอาดขึ้น
 
• ให้คุณพ่อหรือคุณแม่ทำความสะอาดส่วนล่างเป็นที่สุดท้ายโดยเริ่มทำจากข้างหน้าไปข้างหลัง ถ้าเป็นลูกผู้หญิงให้ค่อยๆล้างให้สะอาดระหว่างช่องปัสสาวะแลช่องอุจจาระ
 
• เมื่ออาบน้ำเสร็จควรทำให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นด้วยการห่อผ้าให้กับพวกเขา

ผ้าอ้อมกับเจ้าตัวน้อย
ในการใส่ผ้าอ้อมให้พวกเขาคุณควรจะมั่นใจว่าผ้าอ้อมเด็กนั้นไม่ได้ไปเสียดสีกับสายสะดือที่ยังไม่หลุด หากเป็นเด็กผู้ชายให้จับส่วนตรงอวัยวะเพศให้ลดต่ำลงเพื่อให้เขาไม่ปัสสาวะเลอะบริเวณสะดือ

แต่งตัวให้กับเจ้าตัวน้อย
จัดการแต่งตัวให้กับพวกเขาในชุดที่สบายๆ และไม่รัดจนเกินไปและเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ควรรั้งหรือดึงผ้าอ้อมเด็กและไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่เจ้าตัวเล็กขยับได้ไม่ถนัด ทำความสะอาดหูของเจ้าตัวน้อยคุณพ่อคุณแม่ควรจะทำความสะอาดใบหูส่วนนอกของเจ้าตัวน้อย หากจำเป็นอาจจะเป็น 3-4 ครั้งแต่สัปดาห์หรือสัปดาห์และครั้ง การตัดเล็บของเจ้าตัวน้อยถ้าเจ้าตัวน้อยเล็บเริ่มยาว คุณพ่อคุณแม่อาจจะทำการขูดด้วยมือของคุณพ่อคุณแม่จนเล็บนั้นหลุดไปได้แต่หากเล็บเริ่มแข็งให้ใช้กรรไกรตัดเล็บสำหรับเด็กเล็กแทนโดยเริ่มตัดตรงๆ หลังจากนั้นอาจจะทำการเล็มหากเล็บยังยาว การดูแลผมให้กับเจ้าตัวน้อยควรจะหวีผมให้กับเจ้าตัวน้อยด้วยแปรงหวีผมนุ่มๆ โดยเริ่มจากหวีสวนทาง เพื่อป้องกันไขบนศีรษะของตัวตัวน้อย 


ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก drypers.co.th
Read More

ระบบปัสสาวะคุณผิดปกติหลังคลอดหรือไม่?



หากคุณแม่จาม, วิ่ง หรือ กระโดดและมักจะมีปัสสาวะไหลเป็นหยดๆตามมาด้วยล่ะก็ถึงเวลาที่จะต้องออกกำลังกายกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแล้วล่ะค่ะ

ผู้หญิงส่วนมากที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือหลังคลอดมักจะพบอาการนี้กันเป็นประจำเมื่อพวกเขาจาม, ไอ หรือวิ่ง อาการนี้ไม่ใช่อาการผิดปกติอะไร แต่ในเวลาที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์หรือเพิ่งคลอดใหม่ๆ นั้นกล้ามเนื้อส่วนนี้จะมีอาการบวมหรือเกิดความเครียดที่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่ปัญหาเกี่ยวกับระบบกระเพาะปัสสวะของคุณแม่จะดีขึ้นหรือค่อยๆหายไปเมื่อกล้ามเนื้อส่วนนั้นมีอาการบวมน้อยลง ดังนั้นคุณแม่ควรออกกำลังกายในส่วนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเพื่อที่กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะมีการฟื้นตัวที่เร็วขึ้น

บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนนี้หลังการให้กำเนิดบุตรจะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม เพราะว่าการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดซึ่งช่วยในการรักษาแผลเย็บต่างๆได้ และในขณะเดียวกันการออกกำลังกายที่ส่วนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะไม่ทำให้คุณแม่มีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอยอีกด้วย
Read More

เมื่อเจ้าตัวเล็กร้องไห้


คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการปลอบลูกน้อยเมื่อร้องไห้นั่นคือต้องมีความอดทนและใจเย็นมากๆ หากมันยากมากที่จะทำใจเย็น คุณพ่อคุณแม่ต้องข่มมันไว้ค่ะ การปลอบนั้นมักจะใช้เวลาเสมอ เพราะฉะนั้นต้องค่อยๆปลอบพวกเขาและเจ้าตัวน้อยจะค่อยๆ อารมณ์ดีขึ้นไปเองเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เห็นเจ้าตัวน้อยร้องไห้โดยที่ไม่รู้สาเหตุมักจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจเสมอ แต่โดยส่วนมากเมื่อพวกเขาร้องไห้ พวกเด็กๆต้องการความอบอุ่น หรือไม่ก็อยู่ในอาการหิว แลนี่จะเป็นเคล็ดลับในการปลอบเจ้าตัวน้อยเวลาที่พวกเขาร้องไห้

15 วิธีปลอบเจ้าตัวน้อยเมื่อเขาร้องไห้
• อุ้มเจ้าตัวน้อยด้วยการพาดไว้บนบ่า โดยให้หัวน้อยๆของพวกเขาแตะที่แก้มของคุณ เพราะการอุ้มเจ้าตัวน้อยไว้บนบ่าทำให้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่หลังและท้องได้
• หากเจ้าตัวน้อยร้องไห้ ลองชี้จุดไปที่อื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อาจจะช่วยให้ไม่ร้องไห้ได้
• เจ้าตัวน้อยชอบอิงแอบอยู่ในที่แคบๆ เพราอย่างนั้นรถเข็นเด็กหรือเตียงเด็กอาจจะทำให้พวกเค้ากลัวได้เพราะว่ามีพื้นที่ใหญ่เกินไป ให้ลองนำผ้าห่มหรือหมอนไปวางไว้จะสามารถทำให้เด็กๆรู้สึกดีขึ้นมาได้
• ห่อเจ้าตัวน้อยด้วยผ้าอ้อมแต่ต้องมั่นใจว่าไม่ทำให้รัดมากจนเกินไปเพราะการพันด้วยผ้าอ้อมจะทำให้พวกเค้ารู้สึกอบอุ่นปลอดภัย
• อาบน้ำก่อนที่จะเข้านอน
• เวลาใส่ที่ sling ควรจะให้เจ้าตัวน้อยอยู่ในระดับที่สูงเพื่อที่คุณจะได้จูบที่หน้าผากพวกเขาได้ถนัด การทำแบบนี้จะทำให้พวกเขาได้กลิ่นของคุณพ่อคุณแม่, ได้ยินเสียงหัวใจของคุณพ่อคุณแม่ และรู้สึกอบอุ่น
• พยายามพูดคุย, ร้องเพลง, หรือฮัมเพลง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
• เวลาที่เจ้าตัวน้อยอยู่รอบๆให้พยายามอยู่ในที่ๆ มีแสงอ่อนๆ และเสียงเบาๆ เพราะว่าเด็กๆ บางคนจะเหนื่อยเกินไปหรือรู้สึกถูกกระตุ้นจนเกินไป
• การตบเป็นจังหวะเบาๆที่ก้นของเจ้าตัวน้อยจะเป็นการกระตุ้นความรู้สึกสงบให้แก่พวกเขา
• White noise บางครั้งพวกเสียงดังๆต่างๆ พวกเครื่องดูดฝุ่น  เสียงเครื่องซักผ้า เสียงพัดลม แม้กระทั่งเสียงที่เป่าผม ก็เป็นสิ่งที่เด็กหลายๆคนรู้สึกว่ามันเป็นที่กล่อมอย่างหนึ่ง
• หากการให้นมแม่ไม่เป็นผลในการปลอบพวกเขา ลองให้เด็กใช้จุกนมหลอก ผ้าห่มนุ่มนิ่ม หรือนิ้วของคุณพ่อคุณแม่ เพราะว่าเด็กบางคนจะอารมณ์ดีขึ้นได้โดยการดูดมากกว่าการกินนั่นเอง
• ดันรถเข็นเด็กไปมาอาจจะทำให้เด็กๆ สงบขึ้น
• ไปสูดอากาศนอกบ้าน หรือการเปลี่ยนสถานที่อาจจะทำให้พวกเขาอารมณ์ดีขึ้นได้



ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก drypers.co.th
Read More

เมื่อเจ้าตัวน้อยชอบร้องไห้ในที่ๆคนพลุกพล่าน

บางทีการที่เจ้าตัวน้อยร้องไห้นั้นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของเด็กวัยนี้ แต่เป็นตัวคุณพ่อคุณแม่เองนี่แหละที่กังวลมากจนเกินไป บางทีคุณพ่อคุณแม่ควรจะเปลี่ยนทัศนคติ อย่างเช่นควรจะคิดว่า คนส่วนมากนั้นเข้าใจเวลาที่เจ้าตัวน้อยเกิดร้องไห้ขึ้นมา หากคุณแม่ต้องการให้น้ำนมลูกในที่สาธารณะ ก็ควรจะให้เจ้าตัวน้อยได้กินอิ่มอย่างที่เค้าเรียกร้อง อาจจะนำผ้าห่มเพื่อปกปิดเจ้าตัวน้อยในขณะให้น้ำนมจะทำให้คุณแม่รู้สึกเป็นส่วนตัวและไม่รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองอยู่ตลอด



ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก drypers.co.th


Read More

กังวลเรื่องการร้องไห้ โคลิค


โคลิค หรือ ภาษาไทยเรียกว่าการร้องร้อยวันนั้นช่างเป็นปัญหาใหญ่ของพ่อแม่ทุกคน โคลิคเป็นอาการที่เกิดขึ้นน้อยแต่ถึงแม้ว่าเกิดขึ้นได้น้อยแต่หากเกิดขึ้นแล้วก็สร้างความปวดหัวได้เป็นอย่างมาก อาการโคลิคของเด็กอาจจะผ่านไปได้ยากเพราะฉะนั้นหากมีปัญหาควรจะปรึกษาปัญหานี้อย่าล่าช้าเด็ดขาด

อาการโคลิคเป็นอาการเจ็บป่วยระยะสั้นที่เจ้าตัวเล็กมักจะร้องไห้อย่างรุนแรง และให้ความรู้สึกเหมือนว่าพวกเขากำลังรู้สึกปวดท้องอย่างมาก อาการโคลิคสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อทารกมีอายุตั้งแต่ 3 อาทิตย์ขึ้นไป โดยที่มาของสาเหตุยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด

อาการเหนื่อยมากเกินไปไม่ใช่โคลิค เนื่องจากอาการโคลิคเกิดขึ้นน้อย อย่างเช่นคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะรู้สึกสับสนกับอาการที่เจ้าตัวน้อยเหนื่อยมากไปว่าเป็นโคลิคหากเป็นอาการโคลิค เจ้าตัวน้อยจะร้องไห้อย่างน้อยๆ 3 ชั่วโมงต่อวัน และเป็นอย่างน้อยที่สุดเป็นอยู่แบบนี้ 3 วันในหนึ่งอาทิตย์ และจะเป็นต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยๆ ติดต่อกันแบบนี้ 3 อาทิตย์ หากไม่ได้ร้องไห้บ่อยแบบนี้ ก็คือไม่ได้มีอาการโคลิคเพียงแต่เจ้าตัวน้อยต้องการการดูแลแบบปกติเท่านั้นเอง อาการโคลิคไม่ใช่อาการปกติที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆจึงทำให้พ่อแม่ส่วนมากเป็นกังวลหากเจ้าตัวน้อยเป็นโคลิคขึ้นมา และอาการนี้ยังเป็นฝันร้ายอย่างมากกับเจ้าตัวน้อยด้วยเพราะว่าพวกเด็กๆสามารถร้องไห้ได้วันละเป็นชั่วโมงๆ โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
สิ่งที่ควรลอง
หากเจ้าตัวน้อยเกิดอาการไม่สบายตัวลองทำตาม
•นมวัวอาจจะเป็นต้นเหตุของปัญหา บางทีอาจะต้องปรึกษาคุณหมอเพราะเจ้าตัวเล็กอาจจะไม่สามารถย่อยแลคโตสในนมวัวได้จึงทำให้ร้องไห้
•การห่อตัวทารกเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
•บางครั้งมีการนำไปฝังเข็มหรือตรวจกระดูกหุ้มสมองเพื่อการเช็ค ซึ่งควรจะมีการปรึกษาปัญหากับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง
หากสงสัยว่าอาการโคลิคจะเป็นอีกนานเท่าไหร่ ไม่สามารถมีใครตอบได้ สิ่งที่ควรทำคือขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เพราะว่าอาการโคลิคสามารถทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความเครียดได้มาก ซึ่งจะผ่านช่วงนี้ไปได้ต้องอาศัยความอดทนและพลังใจอย่างมาก



ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก drypers.co.th
Read More
© ผู้หญิงวันนี้ All rights reserved | Theme Designed by Seo Blogger Templates